ถ้าคุณคิดจะเอาดีด้านเกษตร ไม่ว่าจะปลูกผักส่งห้าง เลี้ยงกุ้งส่งออก หรือทำโรงคัดบรรจุผลไม้ บอกเลยว่าแค่ขยันอย่างเดียวไม่พอครับ เรื่อง “กฎหมาย” คือกำแพงที่คุณต้องข้ามไปให้ได้ หลายคนตกม้าตายเพราะลงทุนไปเป็นล้านแต่ที่ดินดันผิดประเภท หรือโดนตีกลับสินค้าเพราะมาตรฐานไม่ผ่าน บทความนี้ผมสรุปแบบภาษากันเอง เป็น “แผนที่ 10 หัวข้อ” ให้คุณอ่านจบแล้วร้องอ๋อ รู้ทันทีว่าจุดไหนต้องระวัง จุดไหนต้องรีบเช็ก
1) โครงสร้างกฎหมายเกษตรไทย: ใครคุมอะไรบ้าง?
กฎหมายเกษตรในบ้านเราไม่ได้มีแค่ฉบับเดียว แต่มันซ้อนกันอยู่ 3 ชั้นเหมือนขนมชั้นครับ:
-
กฎหมายแม่ (พ.ร.บ.): เป็นตัวกำหนดอำนาจ เช่น พ.ร.บ. ปุ๋ย หรือ พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าเกษตร
-
กฎหมายลูก (กฎกระทรวง/ประกาศ): อันนี้สำคัญมาก เพราะบอกรายละเอียดว่า “ต้องทำยังไง” เช่น ต้องขอใบอนุญาตที่ไหน สเปกถังเก็บสารเคมีต้องเป็นแบบไหน
-
การบังคับใช้: เจ้าหน้าที่เขาจะมาตรวจตามฟาร์มหรือโรงงานตามระเบียบพวกนี้แหละครับ เทคนิค: เวลาจะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ให้ถามตัวเองก่อนว่า “เรื่องนี้ใครคุม?” เช่น เรื่องปุ๋ยไปกรมวิชาการเกษตร เรื่องสัตว์ไปกรมปศุสัตว์ จะได้ไม่หลงทาง
2) จัดหมวดหมู่กฎหมาย: ทำเกษตร = ทำธุรกิจ
ลบภาพจำเดิมๆ ที่ว่าทำเกษตรแค่ก้มหน้าก้มตาปลูกไปได้เลย เพราะปัจจุบันกฎหมายมองเราเป็น “ผู้ประกอบการ” ซึ่งแบ่งหมวดใหญ่ๆ ได้ดังนี้:
-
ฐานการผลิต: ที่ดิน, ภาษีที่ดิน, ทรัพยากรน้ำ
-
ปัจจัยการผลิต: พันธุ์พืช, ปุ๋ย, สารเคมี, อาหารสัตว์
-
กระบวนการผลิต: การเคลื่อนย้ายสัตว์, โรคระบาด, มาตรฐานฟาร์ม (GAP/Organic)
-
การตลาดและเงินทุน: สัญญาซื้อขาย, สินเชื่อ, สหกรณ์, ฉลากสินค้า การรู้หมวดหมู่พวกนี้ช่วยให้คุณ “ประเมินความเสี่ยง” ได้ก่อนลงเงินก้อนใหญ่ครับ
3) กฎหมายที่ดิน: รากฐานที่ต้องเป๊ะ
ที่ดินคือสมบัติล้ำค่า แต่สิทธิแต่ละแบบ “ทำ” ได้ไม่เท่ากันนะครับ
-
โฉนด (น.ส. 4): ซื้อขาย จำนองได้เต็มที่
-
ส.ป.ก. 4-01: ให้ใช้ทำเกษตรเท่านั้น ห้ามขายขาด (แม้ตอนนี้จะมีนโยบายเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อเกษตรกรรม แต่เงื่อนไขก็ยังเน้นเรื่องการทำเกษตรเป็นหลัก)
-
การเช่า: ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ ถ้าเช่าเกิน 3 ปีต้องจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดิน ไม่งั้นฟ้องร้องลำบากนะจะบอกให้
4) ภาษีที่ดินและปัญหาแนวเขต
ยุคนี้มี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เข้ามาเกี่ยว ถ้าคุณปล่อยที่ดินทิ้งร้างจะโดนภาษีอ่วม แต่ถ้าทำเกษตรจริงจังตามเกณฑ์ (เช่น ปลูกกล้วย 200 ต้น/ไร่ หรือตามที่กฎหมายกำหนด) ภาษีจะถูกลงมาก นอกจากนี้เรื่อง “ทางภาระจำยอม” หรือทางเข้า-ออก ก็เป็นปัญหาคลาสสิกที่ต้องเคลียร์ให้จบก่อนจะเอารถไถลงพื้นที่ครับ
5) การจัดการน้ำและประมง: ทรัพยากรของส่วนรวม
น้ำไม่ใช่ของฟรีที่ใครจะสูบเท่าไหร่ก็ได้ ตาม พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ การใช้น้ำบางประเภท (โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมเกษตร) อาจต้องขออนุญาตและเสียค่าธรรมเนียม ส่วนสายประมง กฎหมายยุคนี้เข้มเรื่อง “ความยั่งยืน” มาก เครื่องมือที่ใช้ต้องถูกประเภท พื้นที่ต้องถูกเขต ไม่งั้นโดนปรับหนักถึงขั้นยึดเรือได้เลย
6) ปัจจัยการผลิต: ปุ๋ย สารเคมี และพันธุ์พืช
ถ้าคุณจะผลิตปุ๋ยใช้เองเพื่อขาย หรือนำเข้าเมล็ดพันธุ์มาขายต่อ ต้องระวัง พ.ร.บ. พันธุ์พืช และ พ.ร.บ. ปุ๋ย ให้ดี:
-
เมล็ดพันธุ์: ห้ามขายเมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพหรือผิดประเภท
-
สารเคมี/วัตถุอันตราย: ต้องมีใบอนุญาตครอบครองและจำหน่าย และต้องมีการจัดเก็บที่ปลอดภัยตามมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร
-
ปศุสัตว์: การเคลื่อนย้าย หมู วัว ไก่ ข้ามจังหวัดในช่วงที่มีโรคระบาด ถ้าไม่มีใบอนุญาตถือว่าผิดกฎหมายร้ายแรงครับ
7) ปัจจัยสนับสนุนและการขึ้นทะเบียนเกษตรกร
การเป็น “เกษตรกรในระบบ” มีข้อดีกว่าที่คุณคิด การขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ช่วยให้คุณเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐ เวลาเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม และยังเป็นฐานข้อมูลสำคัญเวลาคุณจะขอใบรับรองมาตรฐานต่างๆ เพื่อยกระดับสินค้าไปขายบนห้างด้วย
8) สินเชื่อและ “เกษตรพันธสัญญา” (Contract Farming)
หลายคนทำสัญญาปลูกพืชส่งโรงงาน (Contract Farming) ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะคุ้มครองอยู่นะครับ เพื่อไม่ให้บริษัทใหญ่เอาเปรียบเกษตรกร
-
จุดเช็กในสัญญา: ราคาประกันคือเท่าไหร่? ใครจ่ายค่าปุ๋ย? ถ้าผลผลิตตายจากภัยธรรมชาติใครรับผิดชอบ?
-
จำไว้ว่า: อย่าเซ็นสัญญาที่คุณอ่านไม่เข้าใจ หรือสัญญาที่ไม่มีคู่ฉบับให้คุณเก็บไว้เด็ดขาด
9) มาตรฐานสินค้าและกฎหมายอาหาร
ถ้าคุณเริ่ม “แปรรูป” เช่น ทำกล้วยฉลากแบรนด์ตัวเอง กฎหมาย พ.ร.บ. อาหาร จะเข้ามาแจมทันที
-
อย.: ต้องขอเลขสารบบอาหารไหม? สถานที่ผลิตได้มาตรฐานหรือเปล่า?
-
ฉลาก: ต้องระบุวันหมดอายุ ส่วนประกอบ และคำเตือนให้ครบ
-
โฆษณา: อย่าเผลอไปใช้คำว่า “รักษาโรค” หรือ “ดีที่สุดในโลก” เพราะจะโดนสั่งปรับเอาได้ง่ายๆ
10) การรวมกลุ่ม: สหกรณ์และวิสาหกิจชุมชน
คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย การรวมกลุ่มเป็น วิสาหกิจชุมชน หรือ สหกรณ์ ช่วยให้คุณมีอำนาจต่อรองซื้อปุ๋ยได้ถูกลง และขายผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น กฎหมายกลุ่มนี้จะเน้นเรื่องการบริหารจัดการภายในและความโปร่งใส เพื่อให้สมาชิกทุกคนได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
FAQ: 3 คำถามยอดฮิตกฎหมายเกษตร
Q1: ที่ดิน ส.ป.ก. เอาไปเข้าแบงก์กู้เงินได้ไหม? A: ปัจจุบันที่ดิน ส.ป.ก. สามารถใช้เป็นหลักประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ได้ครับ และล่าสุดมีการยกระดับเป็น “โฉนดเพื่อเกษตรกรรม” ซึ่งช่วยให้การเข้าถึงแหล่งทุนทำได้กว้างขึ้น แต่ยังคงเงื่อนไขว่าต้องใช้ทำประโยชน์ด้านเกษตรเป็นหลัก และโอนสิทธิได้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
Q2: จะทำเกษตรอินทรีย์ (Organic) ขาย ต้องขอใบรับรองอะไรบ้าง? A: ถ้าจะขายในไทยและอยากใช้ตราสัญลักษณ์ “Organic Thailand” ต้องขอรับรองจากกรมวิชาการเกษตรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครับ โดยเขาจะมาตรวจทั้งดิน น้ำ และกระบวนการผลิตว่าไม่มีสารเคมีเจือปนจริงๆ การแอบอ้างว่าอินทรีย์โดยไม่มีใบรับรอง มีความผิดฐานหลอกลวงผู้บริโภคได้นะ
Q3: โดนเพื่อนบ้านพ่นยาฆ่าแมลงแล้วลอยมาโดนพืชผักเราเสียหาย ฟ้องได้ไหม? A: ฟ้องได้ครับ ถือเป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และอาจผิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมด้วย แนะนำให้ถ่ายรูป เก็บตัวอย่างพืชที่เสียหาย และแจ้งเกษตรอำเภอหรือผู้นำชุมชนมาเป็นพยานไว้ก่อนเพื่อใช้ในการเจรจาหรือดำเนินคดี